เคล็ดลับเลือกแหวนหมั้น

 

12 เคล็ดลับ “ต้องรู้”

ถ้าอยากเลือกเพชรน้ำงาม ให้ได้ ให้ดี ให้โดน ให้ทันวันสำคัญของคุณ

เพื่อให้วันสำคัญครั้งเดียวในชีวิต

มี “เพชรบนนิ้วนาง” ที่ใช่ที่สุด

 

 

เคล็ดลับ 1

จะแต่งงานทั้งที อย่าอายที่จะ “กำหนดงบประมาณ”

ที่เหมาะสมสำหรับคุณและว่าที่คู่ชีวิตด้วย

จะได้ซื้อเพชรได้อย่างสบายใจ ไม่มีปาดเหงื่อหลังแต่ง

               การกำหนดงบประมาณไว้ “คร่าวๆ ก่อนซื้อ”

ช่วยให้คุณเจอเพชรน้ำงาม ในราคาที่สมน้ำสมเนื้อมากขึ้น
เพราะราคาเพชรค่อนข้างกว้าง

มีให้จับจ่ายตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักสิบๆ ล้านบาทขึ้น++

การกำหนดงบไว้ก่อนซื้อ “จึงดีกว่า” เพราะ...

  • ช่วยลดขั้นตอนในการซื้อเพชร
  • เซฟเวลาชีวิตให้กันและกัน
  • เซฟเงินในกระเป๋าที่มี
  • เข้าประเด็นการเลือกซื้อได้เร็ว
  • เป็นเจ้าของเพชรขนาดใหญ่ ที่ตรงใจที่สุด

ภายใต้งบประมาณที่คุณและเค้าเอาอยู่แน่นอน

 

 

เคล็ดลับ 2

จะว่ายากก็ไม่ยาก จะว่าง่ายก็ไม่ง่ายซะทีเดียว!

แต่ขอแค่แวะตรงนี้สักนิด

ทำความเข้าใจก่อนซื้อเพชรด้วย 4 อย่างนี้ จบปิ๊งเลย

รู้จัก 4C ของเพชร
1. Cutting เจียระไน,
2. Clarity ความสะอาด,
3. Color น้ำ,
4. Carat น้ำหนักกะรัต

               เมื่อมีงบประมาณที่กำหนดไว้แล้ว

หลายท่านอาจยังสงสัย เราจะทุ่มงบไปกับอะไรใน 4C ดีนะ?

การทำความเข้าใจในหลัก 4C จึงช่วยให้คุณเลือกเพชรได้โดนใจยิ่งขึ้น
แต่หากยังไม่เกทในหลักนี้ การเปิดใจ รับฟัง สอบถามผู้เชี่ยวชาญทางร้านได้โดยตรง

ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร !


               เพื่อให้ผู้รู้แนะนำสิ่งที่ควรรู้ก่อนซื้อ

และเพื่อช่วยคุณตัดสินใจได้เฉียบขาดยิ่งขึ้น ก่อนจ่ายเงินให้เพชรเม็ดงาม

 

 

เคล็ดลับ 3

               “อย่ามองข้ามสัญชาตญาณของคุณเอง”

เพราะเราต่างมีความชอบ รสนิยม ไลฟ์สไตล์แตกต่างกันไป

การพิจารณา “ซื้อเพชร” ก็เช่นกัน คุณคือคนที่ตอบคำถามได้ดีที่สุด

              
               ว่าควรจะลงเงินของคุณไปที่ใด?
ควรจะประหยัดตรงส่วนไหน
แต่ถ้าเริ่มไม่ได้ แนะนำให้คุณจัดลำดับความสำคัญ
ด้วย “สิ่งที่ตาคุณมองเห็น” ให้ได้ก่อน
เพื่อนำไปสู่การเลือกซื้อเพชรที่ตรงใจ ก่อนจ่ายเงิน!


1.  Cutting คือ เพชรที่เจียรไนดี ได้ความประกายสูงสุด
แสงเปล่งประกายแยงตา ชนิดที่ห่างหลายเมตรยังเห็นได้

2.  Carat น้ำหนักกะรัต คือการสะท้อนถึงขนาด
ยิ่งขนาดใหญ่ย่อมเห็นได้แต่ไกล เหมาะกับคนชอบความโดนเด่น สะกดทุกสายตา
3. Color เหมาะกับการชื่นชมน้ำของเพชร ระยะชิดใกล้

แต่อย่าลืม หาเพชรอีกเม็ดเป็นเพื่อนช่วยเทียบกัน
4. Clarity ขึ้นชื่อเรื่องเกรดความสะอาด แต่ใช่ว่าจะมองเห็นกันได้ง่าย
เพราะการส่องต้องจ้องกันนิ่งๆ ในระยะ 1 คืบ
แต่! ถ้ามองไม่เห็นอีกต้องตามไปส่องกล้องขยายอีกครั้ง ให้เมคชัวร์

 

 

เคล็ดลับ 4

การเจียระไน เป็นพระเอกของ 4C เลยก็ว่าได้

เพราะยิ่งเพชรมีการเจียระไน ดี เฉียบ มากเท่าไหร่ =  เพชรของคุณยิ่งเปล่งประกาย ยิ่งขึ้น

ซึ่งเกรดการเจียระไนมี 3 ด้าน คือ

1. ฝีมือการตัดเพชรของช่าง Cut
2. ฝีมือการขัดเงา Polish
3. ความสมมาตร Symmetry

              
               เพื่อให้ได้เกรดอุดมคติ Ideal Cut เกรดทั้ง 3 ด้าน
ควรเลือกเป็นระดับ Excellent ทั้งหมด และมี Heart & Arrow
คุณจะได้เพชรที่มีความเปล่งประกายเฉิดฉายสูงสุด
 

คำเตือน : เกรดเจียระไนแย่ ๆ (ตื้นหรือลึกเกินไป)
อาจทำให้เพชรที่ไร้ตำหนิ ดูทื่อ อมมน
ไร้ประกายจืดชืดลง ไม่สมราคา

 

 

เคล็ดลับ 5

ความสะอาด เป็นเพียงเรื่องของทัศนคติและความเชื่อส่วนบุคคล


               เพราะในโลกไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์พร้อม 100%

“เพชร” ก็เช่นกัน แต่เพชรส่วนมากมีตำหนิปนรวมอยู่ด้วยเสมอ


               ในขณะที่เกรด SI (Slightly Included เจือปนเล็กน้อย)
แม้ไม่ได้ “ปราศจากไร้ตำหนิ” แต่ก็จัดว่ายังดูสวยงดงามด้วยตาเปล่าอยู่ดี

ดังนั้น


- เพชร มีตำหนิภายในและภายนอกเป็นเรื่องปกติ
- “ตำหนิ” ฟังดูเหมือน “ความไม่สมบูรณ์แบบ”
แต่แท้จริงแล้วเป็นเอกลักษณ์ของเพชรเม็ดนั้นเปรียบเหมือนลายนิ้วมือคน


- เกรดความสะอาดสามารถไล่ได้ตั้งแต่ เกรด FL (Flawless ไร้ตำหนิ) ไปจนถึง I (Included เจือปน)
- การเริ่มต้นเลือกเพชรที่ดี แนะนำว่าให้เริ่มดูได้ตั้งแต่เกรด SI1 (Slightly Included เจือปนเล็กน้อย เกรดที่ 1)
- หากคุณทำใจเรื่อง “ตำหนิ” ไม่ได้ แนะนำให้สนใจไปที่

เกรด VS2 (Very Slightly Included เจือปนเล็กน้อยมาก เกรดที่ 2) ขึ้นไป++

 

 

เคล็ดลับ 6

               เปิดใจพิจารณาเกรดน้ำเพชร “เกือบไร้สี” (Near-colorless)

แทนที่จะเลือก “ไร้สี” (Colorless) ไปซะทีเดียว เป็นการเซฟเงิน

 

เพราะ “เพชรไร้สี นั้นหายาก = ราคาสูง”


- น้ำหรือสีของเพชรมีตั้งแต่เกรด D (น้ำ 100 ) ถึง Z (น้ำ 78 )
- เกรด D (น้ำ 100) – F (น้ำ 98) ถือเป็นเกรด “ไร้สี (Colorless)”
- เกรด G (น้ำ 97) จนถึง J (น้ำ 94) ถือเป็นเกรด “เกือบไร้สี (Near-Colorless)”
- แต่หากเทียบ F (น้ำ 98) กับ G (น้ำ 97) วางคู่กันแล้ว
อาจเทียบกันแล้วก็เหมือนฝาแฝดกันไม่มีผิด

แต่หากคุณลังเลใจ แนะนำให้เลือกเกรด G (น้ำ 97)

 

ที่สำคัญคืออย่าลืมว่าเพชรที่อยู่บนวัสดุตัวเรือนต่างกัน

ย่อมส่งผลต่อ สีหรือน้ำของเพชร ได้เช่นกัน

ตัวเรือนสีทองและสีPink Gold จะทำให้เพชรดูขาวขึ้นได้ประมาณ1-2 step

เมื่อเลือกเเพชรที่ใช่ได้แล้ว อย่าลืมเลือกสีตัวเรือนที่ช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันด้วย

 

 

เคล็ดลับ 7

               เซฟเงินได้มากขึ้น ด้วยเพชรไซส์พิเศษอย่าง Premium Size
ยิ่งคุณมีน้ำหนักกะรัตในใจเอาไว้ แต่จะดีกว่าแค่ไหน?

หากคุณได้เพชรที่มี “ขนาดใกล้เคียงกับกระรัต” ที่อยู่ในใจแต่ดั้งแต่เดิม

เพราะ...

  • กะรัต เป็นน้ำหนัก ไม่ใช่ขนาด
  • น้ำหนัก = มีผลต่อราคาอย่างมาก
  • น้ำหนักเพิ่มขึ้น = ราคาสูงขึ้น
  • การเลือกน้ำหนักกะรัต ควรดูขนาดของนิ้ว
    ขนาดของตัวเรือน และรูปทรงของเพชรให้สมดุลกัน

เคล็ดลับ : สำหรับคนที่นิ้วเล็ก ใส่ขนาดใหญ่เกินได้อาจดูไม่สมดุล
เพราะเจ้าสาวบางคน อยากใส่แหวนหมั้นในชีวิตประจำวันด้วย
               การพิจารณาขนาดที่รู้สึกสวมแหวนแล้วรู้สึกพอดี ไม่ใหญ่จนเกินไป จึงเหมาะกับการใส่ไปในวันพิเศษๆมากกว่า

 

 

เคล็ดลับ 8

               การเปิดใจมอง เพชรรูปทรงอื่นบ้าง ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรนัก

แม้เพชรทรงกลม ได้รับความนิยมสูงสุด
แต่ไม่ใช่ว่า คุณจะเลือกรูปทรงอื่นไม่ได้เลย

เพชรแฟนซีนั้น อาจดูใหญ่กว่าและราคาถูกกว่าทรงกลม
เมื่อเทียบน้ำหนัก : กะรัต

ทรงเพชรแฟนซี มีอะไรบ้าง?
1. princess ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส,
2. emerald ทรงสี่เหลี่ยมมรกต,
3. asscher ทรงสี่เหลี่ยมขั้นบันได,
4. cushion ทรงหมอน,
5. marquise ทรงเม็ดข้าว


6. radiant ทรงเหลี่ยมมรกตผสมเกสร,
7. oval ทรงไข่,
8. pear ทรงหยดน้ำ
9. heart และทรงหัวใจ

Q : ทำไมทรงกลมถึงแพงกว่า?
A : เพชรทรงกลมมีความต้องการในตลาดสูงกว่า
ต้องอาศัยการเจียระไนเพชรทรงกลม ให้ได้ประกายสูงสุด
จึงต้องใช้ความชำนาญสูง แต่ก็เสี่ยงสูญเสียน้ำหนักเพชรไปมากกว่าทรงอื่นเช่นกัน

 

 

เคล็ดลับ 9

               หากอยากเซฟงบประมาณให้มากขึ้น

การเลือกซื้อเพชรแบบไม่เต็มหน่วยกะรัต “ช่วยคุณได้”
เพราะราคาเพชร อาจพุ่งขึ้นอย่างมีนัยยะ
หากเทียบกันระหว่างเพชรน้ำหนักเต็มกะรัต VS เพชรน้ำหนักครึ่งกะรัต
การซื้อเพชรแบบไม่เต็มน้ำหนักกะรัต ช่วยให้ประหยัดมากกว่าเยอะมาก

  • ความต่างของรูปลักษณ์ที่เห็นระหว่าง
    เพชรขนาด 0.9x กับ 1.00 กะรัตนั้น เล็กน้อยมาก
  • ราคาเพชรจะอิงกับเรทตลาดกลางที่เรียกว่า
    ราพาพอร์ต Rapaport
  •  เรทราคาเพชรขนาด 0.91, 0.92, 0.93, … กะรัต
    จะใช้เรทเดียวกัน
  • แต่พอขึ้นไปสู่ขนาด 1.00++ จะใช้เรทราคาอีกเรทนึงซึ่งราคาสูง++ ทันที
  • เมื่อมองด้วยสายตา ขนาด 0.90 กะรัต กับ 1.00 กะรัต
    ต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“หากอยากเซฟงบประมาณให้เหลือๆ นี่คือทางออกที่ดีที่สุดของคุณ”

 

 

เคล็ดลับ 10

               เพื่อให้มั่นใจมากขึ้น อย่าลืม “ดูใบเอกสารเป็นสำคัญ”
นี่คือหัวใจในการซื้อขายเพชรเลยทีเดียว
เพราะการมองเพชรด้วยตาเปล่า ยังไงก็ไม่เท่ามีใบรับรองไว้ให้อุ่นใจ
 

ข้อควรรู้ :

ดูให้แน่ใจว่า เพชรของคุณมาพร้อมกับการคัดเกรด
จากสถาบันอัญมณีที่เชื่อถือได้เท่านั้น
เช่น GIA, HRD, IGI, GIT ฯลฯ
- ใบเซอร์เพชร Certificate ออกโดยสถาบันอัญมณีเท่านั้น
ร้านค้าขายจิลเวอรี่เครื่องประดับทั่วไป เป็นผู้ออกเองไม่ได้ค่ะ

 

 

เคล็ดลับ 11


               การถามหาการการันตีคุณภาพสินค้าจากร้านเพชรที่คุณซื้อ
จะช่วยให้คุณไม่ต้องกังวลในภายหลัง

สิ่งที่ควรระวัง :
1. อย่าลืมถามเงื่อนไขการการันตีสินค้าของทางร้านก่อนซื้อ
2. บางร้านขายขาดสถานเดียว เหมือนสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป

3. บางร้านสามารถเปลี่ยนสินค้า / บางร้านรับซื้อสินค้าคืนได้


4. บริการหลังการขาย ล้างเพชร ตรวจเช็ค สภาพเครื่องประดับ

การปรับไซส์แหวนในภายหลัง เพื่อลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยในอนาคต

5. ถามหา “การซื้อขาด” จากร้านที่รับเปลี่ยนสินค้า
และรับซื้อคืน เพื่อให้ได้ราคาซื้อที่ถูกลงอีก
หากมั่นใจว่าเราจะไม่เปลี่ยนหรือขายคืนอีกแล้วเท่านั้น

 

 

คุณคือเจ้าของเงิน ดังนั้น
“อย่าซื้ออะไรก็ตามภายใต้แรงกดดัน”
แม้คุณอาจรู้สึกตื่นเต้นกับการเลือกซื้อเพชรไปบ้าง

               แต่การใช้เวลาในการเลือก พิจารณา มองหาร้านที่ตอบโจทย์คุณที่สุด

เป็นการเพิ่มโอกาสให้คุณ ได้เพชรน้ำงามในราคาที่เหมาะสม

เพื่อมอบให้คนสำคัญ ช่วยเพิ่ม เสริม เติมออร่าให้ว่าที่เจ้าสาว

ดูเปล่งประกายที่สุดในวันสำคัญที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในชีวิตของเธอ